เปิดตัว 2019 Chevrolet Blazer รถ SUV ขนาดกลาง แบบ 5 ที่นั่ง ขุมพลัง 2.5 และ 3.6 ลิตร


รีวิว 2019 Chevrolet Blazer (เชฟโรเลต เบลเซอร์) จากงานเปิดตัว รถ SUV ขนาด mid size 5 ที่นั่ง ขุมพลัง 2.5 และ 3.6 ลิตร

General Motors เปิดตัว Blazer รถ SUV ขนาด mid size  5 ที่นั่ง ในภาษาการออกแบบใหม่ ที่นอกจากจะดูเท่ ดูดัน สะดุดตาแล้ว ยังถือว่าเป็นเอกลักษณ์ในแบบ Chevrolet เหมือนกับที่พบใน Camaro โฉมใหม่ ซึ่งชื่อ Blazer เป็นการนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้งในรอบ 13 ปี โดย GM จะทำตลาด Blazer ใน 3 รุ่นย่อย คือ รุ่นเริ่มต้น รุ่น Premier และรุ่นท็อปสุดอย่าง RS ที่เห็นอยู่นี้

Chevrolet Blazer มีขนาดใหญ่กว่า Captiva แต่เล็กกว่ารุ่น Traverse โดย Chevrolet ได้สลัดภาพ Blazer รุ่นเดิมออกไป ด้วยการใช้ดีไซน์ที่ดูทันสมัย มาพร้อมเส้นสายที่เฉียบคม สวยงามลงตัว โดยเฉพาะด้านหน้าตั้งแต่ใต้ฝากระโปรงลงไป จนถึงขอบชายล่างของกันชน ไฟหน้าแบบ HID ที่เรียวเล็กแบบใหม่ ดูเท่เป็นเอกลักษณ์ มีการใช้สีดำกับกรอบไฟหน้า แผงกระจัง กรอบไฟตัดหมอก ไปจนถึงกันชนหน้า รวมถึงเสา A ด้านหน้ารถ ดูเข้ากันดีกับสีตัวถัง ทำให้ Blazer มีความเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาในทันที ส่วนบั้นท้ายดูโฉบเฉี่ยวมีมิติ เส้นสายของกรอบไฟท้ายอาจจะดูธรรมดา แต่ลวดลายของไฟ LED แบบหัวลูกศร ช่วยให้ไฟท้ายดูโดดเด่นขึ้นมาทันที

เพิ่มความดุดันเข้าไปด้วยการติดตั้งปลายท่อไอเสียรูปสี่เหลี่ยมทั้งซ้ายและขวา เมื่อมองจากด้านข้าง จะสังเกตเห็นแรคหลังคาแบบลอยตัว โดยจะเป็นสีดำในรุ่น RS ในขณะที่้ขอบชายล่างก็เป็นสีดำเช่นกัน สอดรับกับชายล่างด้านหน้าและหลัง รวมถึงคิ้วซุ้มล้อ ที่เป็นเส้นเดียวกันตลอดรอบคันในแบบทูโทน สำหรับรุ่น RS ทำให้ Blazer ดูแตกต่างไปจากรถรุ่นอื่นๆในตลาด สำหรับรุ่นเริ่มต้นและรุ่น Premier ขอบชายล่างรอบคัน และแรคหลังคาจะเป็นสีเดียวกับตัวถัง ในขณะที่เสา A ยังคงเป็นสีดำเช่นเดิม ดูสวยงามไปอีกแบบ ส่วนล้ออัลลอยมีตั้งแต่ขนาด 18 ไปจนถึง 21 นิ้ว ทั้งสีดำในรุ่น RS และสีเงินในรุ่นที่เหลือ

ภายในห้องโดยสารของ Blazer ก็ได้รับอิทธิพลมาจากดีไซน์ของ Camaro โฉมใหม่เช่นกัน มาพร้อมเบาะนั่งด้านหลังที่สามารถเลื่อนสไลด์ไปด้านหน้า หรือด้านหลังได้ถึง 5.5 นิ้ว เพื่อเพิ่มพื้นที่วางขา หรือจุสัมภาระท้าย

Blazer ยังมาพร้อมระบบ cargo management ที่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการแนะนำสู่รถของ Chevrolet ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น RS และ Premier โดยจะช่วยในการจัดแบ่งพื้นวางสัมภาระด้วยรางอลูมิเนียม ทำให้สามารถวางสิ่งของขนาดเล็กได้เป็นสัดส่วน

ฟีเจอร์และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆได้แก่ กล่องใส่ถุงมือล็อคไฟฟ้า ระบบ Adaptive cruise control กระจกพร้อมกล้องมองหลังในรุ่น RS และ Premier ประตูท้ายไฟฟ้าแบบ handfree ระบบชาร์จไฟโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย และช่อง USB 6 ตำแหน่ง เป็นต้น

สำหรับระบบ infotainment ทุกรุ่นย่อยจะมาพร้อมกับจอสีแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว มาพร้อมระบบ Chevrolet Infotainment 3 เป็นฟีเจอร์มาตรฐาน นอกจากนั้น ยังรองรับระบบ wifi, apple carplay และ android auto

ในช่วงแรกของการทำตลาด Blazer จะมาพร้อม 2 รุ่นเครื่องยนต์ทางเลือก คือ เครื่องยนต์เบนซิน Ecotec 4 สูบเรียง ความจุ 2.5 ลิตร ขนาด 193 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 255 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ Ecotec V6 ความจุ 3.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 305 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร โดยทั้งสองรุ่น มาพร้อมระบบ start/stop จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด โดย Chevrolet อ้างว่า รุ่นเครื่องยนต์ 6 สูบ สามารถลากจูงสัมภาระที่มีน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 2,040 กิโลกรัม

Blazer ยังมาพร้อมระบบ Traction Select ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย โดยผู้ขับสามารถเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้แบบ real time โดยในรุ่น AWD ผู้ขับสามารถเลือกให้เพลาหลังทำงานอิสระ เพื่อทำงานได้ในโหมดขับเคลื่อนล้อหน้าเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้โหมดการทำงานแบบ AWD โดยในรุ่น RS และ Premier จะเป็นระบบ AWD แบบ twin clutch ที่ให้สมรรถนะในการขับขี่ที่ดีกว่าในสภาพเส้นทางที่เปียก มีหิมะ หรือเป็นน้ำแข็ง และให้การทรงตัวที่ดีขึ้นบนเส้นทางที่แห้ง

Chevret Blazer จะถูกผลิตขึ้นที่โรงงานของ GM ในประเทศเม็กซิโก และเริ่มวางจำหน่ายในต้นปี 2019 โดยจะมีการประกาศราคาจำหน่ายก่อนการผลิต สำหรับเมืองไทยแล้ว Chevrolet ยังไม่มีแผนจำหน่ายในตอนนี้ ผู้ที่สนใจอาจจะต้องสั่งซื้อผ่านทางบริษัทผู้นำเข้าอิสระ ซึ่งด้วยรูปโฉมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ บวกกับความนิยมในรถสไตล์ SUV โอกาสที่บริษัทผู้นำเข้าอิสระจะนำเข้ามาจำหน่ายในรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ก็น่าจะเป็นไปได้สูงเลยทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม7วัน

บทความที่ได้รับความนิยม30วัน

บทความที่ได้รับความนิยม 1 ปี